ภาวะหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในยุโรป
ภาพทหารกองโจรของโซเวียตในแนวรบด้านตะวันออก |
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ยุโรปได้เผชิญกับ “ระเบียบใหม่” (New Order) อย่างน้อย 2 ระยะ คือ
1. ระเบียบใหม่ยุคแรก ระหว่างปี ค.ศ. 1945 ถึง สิ้นปี ค.ศ. 1989
ระหว่างระยะเวลาดังกล่าว ยังอาจแบ่งออกเป็นช่วงเวลาย่อยได้อีกหลายระยะ ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดคือ ระหว่างปี ค.ศ. 1945-1949 ซึ่งเป็นการสิ้นสุดของสงครามใหญ่ระดับโลก ปรากฏการณ์เหล่านั้นได้จัดตัวเองให้ปรากฏเป็น “ระเบียบ” (Order) ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนเลย อันได้แก่
1.1 การแบ่งประเทศในยุโรปออกเป็น “กลุ่มตะวันตก” และ “กลุ่มตะวันออก” เพื่อผลประโยชน์ หมายถึง ประเทศยุโรปที่เป็นประชาธิปไตย ใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกา และประเทศยุโรปที่เป็นสังคมนิยมภายใต้การปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์ และได้ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของรัสเซีย (กลุ่มโซเวียต : Soviet Bloc)
1.2 ภาวการณ์ในข้อ 1.1 มีผลให้เกิดการแข่งขันระหว่างสหรัฐอเมริกาและรัสเซียในการสร้างระบบควบคุมและการสวามิภักดิ์จากพันธมิตรของตน และที่สำคัญคือ รักษากลุ่มของตนให้พ้นจากภัยรุกรานโดยตรงหรือโดยอ้อมจากฝ่ายตรงข้าม ต่างฝ่ายจึงต้องมีเครื่องมือเพื่อสนองนโยบายดังกล่าว ฝ่ายสหรัฐอเมริกาและกลุ่มประเทศในยุโรปตะวันตกจึงได้ก่อตั้ง “องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ” (NATO-North Atlantic Organization) ขึ้นในปี ค.ศ. 1949 ส่วนฝ่ายรัสเซียได้ก่อตั้ง “องค์การสนธิสัญญาวอร์ซอ” (Warsaw Treaty Organization) ขึ้นเพื่อกระทำหน้าที่ต่าง ๆอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1955
1.3 บางประเทศอดีตสังคมนิยมมีการ “สลายตัว” จากประเทศใหญ่กลายเป็นประเทศเล็กสืบเนื่องมาจากการล่มสลายของระบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ ได้มีผลให้มีการสลายตัวของ “กลุ่มโซเวียต” และ “องค์การสนธิสัญญาวอร์ซอ” (รวมทั้ง “องค์การโคมีคอน” ซึงเป็นองค์การร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศสังคมนิยม) ปรากฏการณ์นี้มีผลให้เกิดการสิ้นสุดของ “สงครามเย็น”
1.4 มีการรวมประเทศเยอรมันทั้งสองเข้าเป็นประเทศเดียวกัน
2. ระเบียบใหม่ยุคหลัง แม้จะมีระยะเวลาไม่นาน แต่ดูจากภาพภายนอกปรากฏเป็นทวีปยุโรป
ที่คลายความตึงเครียด เป็นยุโรปที่มีท่าทีจะรวมกันระหว่างตะวันตก-ตะวันออกเพื่อแสวงหาประโยชน์ร่วมกันในด้านต่าง ๆ จากทรัพยากรที่ต่างมีอยู่และเป็นยุโรปที่ดูทีท่าว่าจะ “ปลอดวิกฤตการณ์” รวมทั้งปลอดจากความหมิ่นเหม่ของการเกิดการนำใช้อาวุธนิวเคลียร์และจะเป็นยุโรปที่ไม่มีการเผชิญหน้าทางทหารอีกต่อไป
ภาวะหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในเอเชีย
เซอร์ วินสตัน เชอร์ชิลล์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ และ ประธานาธิบดี แฟรงกลิน ดี รูส เวลท์ ของสหรัฐอเมริกา นัดพบกันในที่ประชุมลับ เมื่อปี 1941 |
หลังสงครามโลกภูมิศาสตร์การเมืองของเอเชียเปลี่ยนไป มหาอำนาจเจ้าอาณานิคม เช่น ฝรั่งเศส อังกฤษ และฮอลันดา ค่อยๆ เสียเมืองขึ้นของตนไป ขณะที่สหรัฐเริ่มก้าวเข้ามีบทบาทและอิทธิพล
ศาสตราจารย์เรมอนด์ คัลลาแฮน จากภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเดลาแวร์ ชี้ว่าในสายตาของชาติเมืองขึ้นความพ่ายแพ้ต่อญี่ปุ่นในช่วงแรกของสงคราม เป็นจุดสำคัญที่ทำให้สถานะของเจ้าอาณานิคมง่อนแง่น
“เขี้ยวเล็บความยิ่งใหญ่ของเจ้าอาณานิคมชาติต่าง ๆ ในภูมิภาค และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ของอังกฤษโดนกระทบอย่างมาก เพราะช่วงต้นสงคราม ญี่ปุ่นยึดชาติเมืองขึ้นไว้ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย”
ศาสตราจารย์เรมอนด์ คัลลาแฮน จากภาควิชาประวัติศาตร์ มหาวิทยาลัยเดลาแวร์ |
เจ้าอาณานิคมที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียช่วงนั้นคืออังกฤษ แต่นักประวัติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเดลาแวร์ชี้ว่า แม้ท้ายที่สุดจะชนะสงคราม
แต่อังกฤษก็กลายเป็นชาติที่จนลงกว่าเดิม บ้านเมืองพังพินาศจากการทิ้งระเบิดของนาซีเยอรมนี ขณะที่เนเธอร์แลนด์กับฝรั่งเศสก็ยับเยินไม่แพ้กัน
อังกฤษมีปัญหามากมายที่ต้องสะสางในบ้านมากกว่าดูแล เมืองขึ้นที่อยู่ห่างไกล ดังนั้นพอสงครามยุติแค่สองปี ก็เสียอินเดียเป็นชาติแรก ตามมาด้วย พม่า ศรีลังกา มาเลเซีย สิงคโปร์
จัดระเบียบโลกใหม่
เจ้าอาณานิคมยุโรปชาติอื่นๆ ก็ค่อย ๆ เสียเมืองขึ้นของตัวเองไปเช่นกัน เพราะสหรัฐแสดงท่าทีชัดว่าไม่สนับสนุน และนโยบายนี้ของสหรัฐทำให้โฉมหน้าภูมิศาสตร์การเมืองในเอเชียเปลี่ยนไปด้วย
สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นจุดจบของยุคอาณานิคม |
ดร. คัลลาแฮนชี้ว่าสหรัฐแสดงเจตนารมณ์ชัดเจนตลอดสงครามครับ ว่าไม่ต้องการให้คงลัทธิเจ้าอาณานิคมยุโรปในเอเชียอีกต่อไป
“รัฐบาลของประธานาธิบดีรูสเวลท์วางนโยบายจัดระเบียบโลกใหม่หลังสงคราม โดยที่สหรัฐจะมีบทบาทและอิทธิพล พวกเขาเชื่อว่านี่เป็นนโยบายที่ดี ไม่เพียงแต่สำหรับสหรัฐเท่านั้น แต่สำหรับโลกทั้งโลกด้วย”
เศรษฐกิจแข็งแกร่ง
พอเจ้าอาณานิคมเดิมถอนตัวออกไป สหรัฐเริ่มเข้ามามีบทบาทแทนที่ นอกจากนั้นการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐในช่วงสงครามก็ส่งให้ฐานะทางเศรษฐกิจ ของสหรัฐเข้มแข็งยิ่งขึ้น
ดร. คัลลาแฮนชี้ให้เห็นถึงสภาพเศรษฐกิจของสหรัฐก่อนและหลังสงคราม
นายพลดักกลาส แมคอาเธอร์ ผู้บัญชาการกองกำลังสัมพันธมิตรลงนามในสนธิสัญญาสงบศึกบนเรือรบยูเอสเอส มิสซูรี่ |
“สงครามช่วยแก้ปัญหาใหญ่ของสหรัฐในตอนนั้นคือภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ที่เริ่มเมื่อปี 1929 หรือที่เรียกว่า great depression แต่สงครามกระตุ้นให้เศรษฐกิจของสหรัฐขยายตัว มีการกระจายรายได้และความร่ำรวยไปสู่ทั้งภาคการผลิตและผู้ใช้แรงงาน และท้ายที่สุดยุติภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่ยืดเยื้อร่วมสิบปี”
“สหรัฐกลายเป็นชาติที่ร่ำรวย มีเศรษฐกิจแข็งแกร่ง เพราะเป็นชาติใหญ่เพียงชาติเดียวที่บ้านเมืองไม่เสียหาย และอุตสาหกรรมการผลิตไม่ถูกกระทบเลย"
ภาวะหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในทวีปแอฟริกา
หลังจากได้รับเอกราช ดินแดนอาณานิคมแอฟริกาได้ถูกแบ่งแยกออกเป็นประเทศใหญ่น้อยกว่า 50 ประเทศ ประเทศต่าง ๆ เหล่านี้ต่างประสบปัญหาเช่นเดียวกับประเทศเกิดใหม่ในที่อื่น ๆ เช่น ปัญหาความยากจนและความล้าหลังของประเทศ ปัญหาความขัดแย้งระหว่างชนเผ่าต่าง ๆ ปัญหาการขาดเสถียรภาพทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย และปัญหาการขยายอิทธิพลของชาติมหาอำนาจในดินแดนแอฟริกา
ภาวะหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในประเทศละตินอเมริกา
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง สหรัฐอเมริกาได้แผ่ขยายอิทธิพลเข้าไปในกลุ่มประเทศละตินอเมริกา โดยการเข้าไปแทรกแซงสนับสนุนรัฐบาลที่เป็นมิตรกับสหรัฐอเมริกา หรือเข้าไปโค่นล้มรัฐบาลของบางประเทศที่มีนโยบายขัดผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกา เช่น การสนับสนุนกลุ่มกบฏโค่นล้มรัฐบาลฟิเดล คัสโตร แห่งคิวบา ซึ่งฝักใฝ่คอมมิวนิสต์ใน ค.ศ. 1962 แต่ต้องประสบความล้มเหลว เป็นต้น